การทำนาในอดีต
การเกษตรของชาวบ้านในอดีตจะทำการเกษตรแบบธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นการทำนาข้าวเสียเป็นส่วนใหญ่ การทำนาอาศัยน้ำฝน และใช้แรงงานควายและแรงงานคนเป็นหลัก เกษตรกรส่วนใหญ่จะไม่ทำไร่ ทำเฉพาะนาพอให้ได้ข้าวเก็บไว้กิน มีการปลูกพริก แตง ฟักทอง และอื่นๆ มีการเตรียมการและขั้นตอนดังนี้
เตรียมทุน
ทุนที่ต้องลงในการทำการเกษตรในอดีตนั้นมีไม่มากนัก เพราะงานส่วนใหญ่จะใช้แรงตนเองและแรงสัตว์เป็นหลัก แหล่งเงินทุนจึงไม่ค่อยจะจำเป็นมากนัก แต่เมื่อมีการสามารถกู้ยืม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส)ได้ เกษตรกรก็เริ่มกู้ยืมเงินมาใช้ ส่วนหนึ่งลงทุนในการทำการเกษตรแต่เป็นส่วนน้อยเพราะค่าใช้จ่ายไม่สูง ที่เหลือก็จะนำไปใช้ในการอื่น
เตรียมพันธ์ข้าว
เมื่อใกล้จะเข้าหน้าฝนชาวบ้านจะเตรียมหาเมล็ดพันธ์ข้าว หากไม่ได้เก็บไว้เองก็จะไปขอกับเพื่อนบ้านหรือขอจากหมู่บ้านใกล้เคียง ข้าวที่ได้มาจะตั้งชื่อตามแหล่งที่ได้พันธ์ข้าวมาเช่น
- ข้าวขาวโนนทอง หากได้มาจากบ้านโนนทอง
- ข้าวขาวแม่ใหญ่จ่าย หากแม่ใหญ่จ่ายเป็นผู้ให้พันธ์ข้าว
- ข้าวหอมลุงดา หากลุงดาเป็นคนให้พันธุ์และข้าวเป็นข้าวที่มีกลิ่นหอม
นอกจากนั้นยังมีมีการแยกพันธุ์ข้าวตามอายุของการออกรวงข้าวเป็น ข้าวหนัก และข้าวเบา
- ข้าวหนักคือข้าวที่ออกรวงช้า ใช้ปลูกในนาที่มีน้ำมากเพื่อเลี่ยงการเกี่ยวข้าวจมน้ำซึ่งจะเป็นการลำบากในการเก็บเกี่ยว และข้าวจะเปียก มีความชื้นสูง
- ข้าวเบา คือข้าวที่ออกรวงเร็ว ใช้ปลูกในนาที่มีน้ำน้อยเพื่อเลี่ยงการที่ข้าวออกรวงไม่ทันน้ำ
เตรียมควาย
ควายที่เป็นแรงงานหลักของการทำนา ตัวที่โตพอจะใช้งานได้จะมีการฝึก เพื่อจะสามารถบังคับควายได้ และไถนาได้ มีขั้นตอนดังนี้
สนตะพาย นั่นคือการนำเชือกมาร้อยเข้าไปในจมูกของควาย วิธีการทำก็คือจับควายที่ยังไม่ได้สนตะพายมาผูกกับหลักไม้ให้แน่นไม่ให้ดิ้นได้ โดยเฉพาะส่วนหัว แล้วเอาเหล็กหรือไม้ไผ่แหลมขนาดเท่ากับเชือกแทงผ่านเข้าไปที่กระดูกอ่อนที่เป็นผนังกั้นระหว่างรูจมูกด้านในของควาย หากใช้เหล็กแหลมจะต้องเผาไฟให้เหล็กร้อนจนแดง และจุ่มลงไปในน้ำให้เหล็กเย็นทันที ด้วยการทำอย่างนี้จะสามารถฆ่าเชื้อโรคและทำให้เหล็กไม่มีสนิม เมื่อรูได้แล้วใช้เชือกร้อยเข้าไปในจมูกควาย ดึงเชือกอ้อมผ่านใต้หูไปผูกเป็นเงี่ยนตายเอาไว้บริเวณท้ายทอย ไม่ผูกแน่นหรือหลวมเกินไป การสนตะพายควายนี้ส่วนมากจะวานคนที่มีความชำนาญมาช่วยทำการ
เมื่อได้ตะพายควายแล้วจะฝึกให้ควายชินกับการถูกสนตะพายด้วยการผูกเชือกและปล่อยให้ควายเดิน ควายอาจะจะเหยียบเชือกบ้างเป็นครั้งคราว การฝึกแบบนึ้จะทำให้ควายเคยชินเมื่อถูกจูง
การฝึกจูงควายและบังคับ จะใช้เชือกผู้เข้ากับตะพายของควาย นิยมผูกทางด้านซ้ายมือ แล้วให้ควายเดินไปข้างหน้าของผู้จูง ในการบังคับให้ควายเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวานั้น ทำได้ดังนี้ หากผูกเชือกทางด้านซ้ายมือต้องการให้ควายเลี้ยวซ้ายให้ดึงเชือกที่ผูกกับตะพาย ควายก็จะเลี้ยวซ้าย หากต้องการให้ควายเลี้ยวขวาให้กระตุกเชือกถี่ๆ เบาๆ ควายก็จะเลี้ยวขวา เมื่อควายเริ่มชินต่อการจูงแล้วสำหรับตัวที่คุ้นก็สามรถขี่หลังได้แต่ขี่ไม่ได้ทุกตัวไปขึ้นอยู่กับความคุ้นเคยระหว่างเจ้าของกับควาย หากควายที่ยังไม่โตพอที่จะฝึกไถนาได้ก็เพียงสนตะพายเท่านั้น หากควายโตพอที่จะลากไถได้ก็จะฝึกให้ไถต่อไป
ฝึกให้ควายไถนาควายที่โตพอจะถูกฝึกให้ไถนา การฝึกควายไถนานี้ต้องใช้คนสองคน คนหนึ่งเป็นคนจูงเพื่อนำทางควาย อีกคนจะเป็นคนไถ การฝึกไถอาจจะใช้เวลาแต่ต่างกันไปสุดแล้วแต่ความชำนาญของผู้ฝึกและความคุ้นของควาย ปกติแล้วจะใช้เวลาฝึกไถไม่นานนัก แต่จะฝึกบ่อยๆ มักจะฝึกช่วงช้าวเพราะแดดไม่แรง เมื่อควายพร้อมที่จะไถนาจริงก็จะเริ่มไถจริงต่อไป
เตรียมไถ
ไถเป็นอุปกรณ์สำคัญอีกชิ้นหนึ่งในการทำนาของเกษตรกรบ้านหัวถนน ไถในอดีตจะทำด้วยไม้ จะมีเพียงผานไถ ปะขางไถ ขอสำหรับเกาะผอง (ท่อนไม้ที่ไว้ผูกเชือกต่อจากแอกที่คอควาย)เท่านั้นจะเป็นเหล็ก ไม้ที่ใช้ทำจะเป็นไม้เนื้อแข็งเช่นไม้ประดู ไม้มะค่า ตัวไถจะเป็นไม้สามชิ้นได้แก่ คันไถ หางไถ และหัวหมู ประกอบกันด้วยการเข้าลิ่ม และส่วนที่ผูกติดกับควายอีกสามชิ้นส่วนประกอบของไถมีดังนี้
หางไถ คือส่วนที่ชาวนาใช้จับเวลาไถ เป็นไม้ชิ้นเดียวทำให้เป็นลักษณะเอียงจากหัวหมูประมาณ15องศา มาจนถึงส่วนที่จะต่อเข้ากับคันไถจะเจารูสี่เลี่ยมผืนผ้าทะลุชิ้นไม้เพื่อใส่ลิ่มต่อกับคันไถ เหนือส่วนนี้ขึ้นไปจะทำเป็นรูปโค้งเพื่อสะดวกต่อการจับ เวลาประกอบเข้าเป็นตัวไถแล้วส่วนนี้จะตั้งขึ้นและส่วนโค้งจะยื่นไปด้านหลังระดับประมาณเอว
คันไถ คือส่วนที่ยื่นออกไปด้านหน้า เพื่อเชื่อมต่อกับส่วนที่ผูกควาย เป็นไม้อีกท่อนที่เป็นส่วนประกอบของตัวไถ ส่วนที่ต่อกับหางไถจะทำเป็นเดือยตัวผู้เพื่อใช้ต่อกับรูเดือยตัวเมียที่หางไถ ทำให้แน่โดยใช้ลิ่มตีเข้าด้านบนเพื่อให้ไม้สองชิ้นประกอบกันแน่น ส่วนปลายยื่นออกไปข้างหน้า โค้งทำมุมต่ำลง มีปลายช้อนขึ้น เพื่อใส่ตะขอสำหรับต่อกับผองไถ
หัวหมู คือส่วนที่ใช้ไถดิน จะประกอบด้วยไม้หนึ่งชิ้นบากปลายให้แหลมและบาน เจาะรูเดือยตัวเมียสี่เหลี่ยมสำหรับต่อเข้ากับหางไถ ส่วนท้ายจะทำเป็นรูปท่อนกลมยาว เพื่อรักษาระดับไถเวลาไถนา ส่วนประกบอที่เป็นเล็กตัวส่วนหัว จะเป็นรูปทรงแหลมกลวงเรียกว่าผานไถ ใช้ส่วยเข้ากับตัวไม้แล้วยึดติดด้วยตะปู ส่วนที่เป็นเหล็กแผ่นรับขึ้นมาอีกชิ้นเรียกว่า ปะขางไถใช้บังคับดินที่ถูกไถ หรือที่เรียกว่าขี้ไถให้พลิกไปตามแนวที่ต้องการ ที่หมู่บ้านหัวถนนนิยมเอียงไปทางด้านซ้ายมือ
หัวหมู
|
หัวหมู
|
หัวหมู
ผองไถ ส่วนนี้จะเป็นไม้ท่อนกลมๆ มีขอเหล็กติดอยู่ตรงกลางเพื่อยึดเข้ากับขอเหล็กของคันไถ ส่วนหัวทั้งสองข้างจะทำเป็นปมหยัก เพื่อใช้ผูกเชือกติดกับปลายที่แอกคอควาย
แอก คือไม้ชิ้นที่ทำเพื่อวางบนคอควาย มีลักษณะเหมือนเขาควายกางออก ตรงกลางสูงขึ้นเพื่อให้รับพอดีกับคอควาย ส่วยปลายสองข้างไว้ผูกเชือกต่อกับผองไถ
ผองคอควาย คือส่วนที่อยู่ใต้คอควาย เป็นไม้ชิ้นแบนๆ ทำให้เป็นรูประมาณครึ่งวงกลมด้านบนเรียบเพื่อให้รับเข้าได้กับคอควาย ด้านล่างจะทำรูเพื่อร้อยเชือกเพื่อผูกให้ผองคอควายติดกับกับแอกและแนบกับคอควายได้พอดี
มีไถเหล็กมาแทนที่ไถไม้บ้างเพราะน้ำหนักเบาและทนทานกว่า แต่ไถไม้ก็ยังมีใช้อยู่
เตรียมคราด
คราดเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทำสำหรับทำให้ดินที่ไถแล้วละเดียด ประกอบด้วยตัวคราด ลูกคราด คันคราด และเสาจับคราด และมือจับ
- ตัวคราด เป็นไม้ท่อนเจาะรูกลมสำหรับใส่ลูกคราด
- ลูกคราด เป็นท่อนไม้กลมๆ รูปเรียวด้านปลายตีเข้าไปในรูของตัวคราด โผล่ออกมาจากตัวคราดประมาณ 10-15 ซม.แต่ละซี่ห่างหันประมาณ 10-15 ซม.เช่นกัน (ขึ้นอยู่กับผู้ทำ ไม่มีสูตรตายตัว)
- คันคราด เป็นไม้สองชิ้นยาวที่ต่อระหว่างตัวคราด ขนานกลับพื้น ยาวจนถึงแอกควาย เวลาใช้งานควายจะอยู่ระหว่างคันคราด
- เสาจับคาด เป็นเสาสองเสาที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นตัวยึดมือจับกับตัวคราด
- มือจับ เป็นไม้ยาวทรงกลมสำหรับจับเวลาคราดนา
ส่วนที่ผูกกับคอควายก็ใช้แอกและผองคอควายของไถ
เตรียมเชือก
ส่วนใหญ่จะเป็นเชือกที่ฝั่นด้วยปอ หรือเถาวัลย์ เช่นเถาหลำเปรียง หรือเครือกระไดลิง หรือเป็นเชือกที่ซื้อมาจากตลาด เชือกมีศัพย์เรียกเฉพาะว่าเชือกค่าว หรือ ค่าว ใช้ผู้ต่อเชื่อส่วนต่างๆ ของไถเข้ากับตัวควาย เพื่อบังคับควย เชือกที่ฝั่นเองไม่ค่อยจะมีคนนิยมทำกันนัก ส่วนใหญ่จะซื้อจากตลาดเสียเป็นส่วนมาก แต่ก็ยังมีชาวบ้านที่ฝั่นเองอยู่บ้าง
เตรียมนา
เมื่อได้พันธุ์ข้าวมาแล้วก็รอให้ถึงเวลาหน้าฝน ซึ่งในอดีตจะสามารถคาดได้ว่าฝนน่าจะตกประมาณเดือนไหน เกษตรกรก็จะเตรียมไถนาเตรียมแปลงเอาไว้
การไถจะเดินเวียนไปทางด้านซ้าย จากรอบนอกเข้ามาด้านใน ต้องหมั่นระวังรอยไถไม่ให้ห่างกัน ห่างคนไถไม่ชำนาญดินจะถูกไถไม่หมดภาษาถินเรียกว่า “ไถระแวง” เวลาไถเกษตรกรจะทำเสียงดุควายเพื่อเร่งให้ควายอยู่ในการบังคับ มักจะทำเสียงว่า “ฮึย…จุ๊ จุ๊ จุ๊…ฮึย” จนเป็นเสียงไล่ควายที่เป็นที่นิยมทำกัน หากควายไม่ดื้อเกษตรกรก็จะเพียงกระตุกเชือกเบาๆ ไล่ให้ควายเดิน แต่หากควายตัวไหนที่ดื้อ ผู้ไถก็จะใช้ปลายเชือก หรือไม้เรียวตี การไถปกติจะไถสองครั้ง ครั้งแรกไถเตรียมรอฝน หรือไถตอนต้นฝน แล้วทิ้งเอาไว้ระยะนึง ก่อนจะทำการไถที่อีกครั้งเมือฝนเริ่มชุก ครั้งนี้เรียกว่าไถแปร การไถจะใช้แรงงานควายไถไม้ที่มีผานไถเป็นเหล็ก บางคนจะเรียกว่าปะขางไถ ในระยะหลังๆ เริ่มมีไถเหล็กมาใช้ซึ่งจะแข็งแรงและเบากว่า
เมื่อไถเสร็จก็จะคราดนาเพื่อให้ดิดเรียบและไม่มีเศษหญ้า เหมาะแก่การหว่านกล้า หรือดำ แปลงแรกที่ไถจะใช้สำหรับเพราะพันธ์กล้าข้าว
คันนาจะได้รับการซ่อมแซมส่วนที่ขาดไปด้วยกานขุดดินขึ้นมาปั้นเป็นรูปคันยาวๆ เพื่อให้นาเก็บน้ำได้ ส่วนไหนที่ขาดหรือต่ำลงก็จะได้รับการซ่อมแซมซึ่งมีศัพท์เฉพาะว่า ปิดคันนา การปิดคันนามักจะทำไม่ใหญ่นัก ส่วนมากจะทำขนาดกว้างพอเดินได้ นอกเสียจากว่าจะเป็นที่น้ำลึกหรือต้องการจะปลูกพืชอื่นบนคันนาถึงจะทำใหญ่ขึ้น ไม่มีขนาดมาตราฐานตายตัว
การไถนาจะนิยมไถแต่เช้ามืดควายจะได้ไม่เหนื่อยมาก หากมีควายหลายตัวอาจจะผลัดควายเป็นเพื่อให้ควายได้พักกินหญ้า สำหรับคนที่ไม่มีควายก็จะยืมควาย หรือวานกันไถ คนที่ยืมความก็จะตอบแทนด้วยการเลี้ยงควายให้ |
เตรียมแปลงหว่านข้าวกล้า
แปลงนาจะเตรียมสองแบบคือแบบสำหรับหว่านข้าวกล้า กับเแบบที่ใช้เพื่อดำ แปลงที่เตรียมไว้หว่านจะมีปล่อยน้ำให้เหลือน้อยไม่ท่วมเมล็ดข้าว และใช้ไม้ไผ่สวมที่ลูกคราดปาดให้แปลงนาเสมอเหมาะแก่การหว่านข้าว ส่วนแปลงที่เตรียมไว้สำหรับดำไม่ต้องทำลักษณะนี้เพียงไถและคราดเท่านั้น
เตรียมกล้าข้าว
เมื่อเตรียมแปลงนาเหมาะที่จะหว่านกล้าได้แล้วชาวนาก็จะล้างมะเล็ดพันธุ์ข้าว และแช่พันธ์ข้าวด้วยน้ำในภาชนะประมาณ 2-3 วันจนเมล็ดพันธุ์ข้าวแตกราก จะเรียกพันธุ์ข้าวว่า ข้าวปลูก เมื่อได้ข้าวปลูกแล้วจะนำไปหว่านลงแปลงนาที่เตรียมไว้ แปลงนาที่หว่านข้าวปลูกนี้จะเปิดน้ำออกไม่ให้มีน้ำท่วมขัง ทำร่องน้ำอยู่ในระหว่างพอให้หว่านข้าวปลูกเพื่อใช้ในการเดินหว่านและดูแลเวลาที่กล้ายังไม่โต
รอเวลาประมาณสามอาทิตย์ถึงหนึ่งเดือน กล้าข้าวก็จะโตพอที่จะรับการถอน การถอนกล้าจะเป็นกำแล้วฟาดส่วนรากกับเท้าเพื่อให้ดินที่ติดอยู่กับรากหลุดออก เมื่อได้กล้าพอยกไหวก็จะมัดด้วยตอกไม้ไผ่ตรงส่วนยอดแล้วตัดใบกล้าข้าวออกเพื่อให้กล้าข้าวไม่คายน้ำมากเกินไปเวลาดำ
การขนย้ายกล้าข้าวไปในแปลงที่ดำข้าวจะใช้ไม้ไผ่แหลมสองข้างที่มีศัพย์เรียกเฉพาะว่าไม้หลาว เสียเข้าไปใต้ส่วนที่มัดด้วยตอกไม้ไผ่ ข้างละเท่าๆ กันแล้วแล้วหาบไปไว้เป็นจุดๆ ตามแปลงที่เตรียมดำ
ทำหุ่นไล่กา
เมื่อหว่านข้าวปลูกเสร็จมักจะมีนกและกามากินข้าวที่หว่าน ชาวนาจะทำหุ่นไล่กา วิธีการจะให้ไม้ทำเป็นกากะบาดเหมือนไม้กางเขน สูงขนาดตัวคน แล้วสวมด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ หมวกหรืองอบเก่าไว้ตรงส่วนหัว ทำให้เหมือนคน พอลมพัดหุ่นก็จะขยับ เป็นการไล่นก ไล่กาได้ระดับนึ่ง
เตรียมแปลงนาดำ
แปลงนาดำนี้จะมีการเตรียมคล้ายกับแปลงหว่านแต่ไม่ต้องปรับผืนดินที่ไถให้เรียบ น้ำในนาก็จะปล่อยออกเพียงไม่ท่วมกล้าข้าว
การดำนา
เมื่อได้แปลงนาเพื่อใช้ดำและกล้าข้าวเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการดำนา การดำนาชาวนาจะอุ้มมัดกล้าไว้ที่อกด้วยมือซ้าย แยกเอากล้าข้าวออกด้วยมือขวาประมาณสี่ถึงห้าต้น ใช้นิ้วโป้งกดรากข้าวลงไปในดินแล้วกลบให้กล้าตั้งต้นได้ด้วยน้ิวที่เหลือ การดำจะดำถอยหลังให้ต้นกล้าห่างกันประมาณหนึ่งศอก แถวต่อมาก็จะดำระหว่างกลาง มีลักษณะเป็นสามเส้า การดำนาในลักษณะอย่างนี้ชาวนาต้องก้มเป็นเวลานาน
การใส่ปุ๋ย
ปุ๋ยที่ใสนาไม่มีมาตราฐานตายตัว ชาวนาส่วนใหญ่จะปุ๋ยที่โฆษณาตามท้องตลาด หว่านลงไปในนาเพื่อบำรุงข้าว บางคนก็ใช้ปุ๋ยคอกตามแต่จะสะดวก
การเรียกขวัญข้าว
การเรียกขวัญข้าวนิยมทำกันทั่วไปแต่ไม่ทุกบ้าน การเรียกขวัญข้าวนี้เป็นการบูชาพระแม่โพสพ ที่เชื่อกันวันเป็นผู้ดูแลข้าว ทำให้ข้าวอุดมสมบูรณ์ นิยมทำกันในวันออกพรรษา วิธีการทำก็จะแตกต่างกันออกไป แต่พอสรุปได้ดังนี้
พิธีกรรม
หลังจากถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์ หญิงที่แต่งงานแล้วจะเตรียมอุปกรณ์ การเรียกขวัญข้าว ดังนี้
- กรวยก้นแหลม 2 กรวย
- ดอกไม้
- ขนมห่อ (ขนมสอดไส้) ข้าวต้มมัด กล้วยสุก เข้าเปียกหวาน
- แป้งผัดหน้า น้ำมันใส่ผม ขี้ผึ้งสีปาก
- หมาก พลู บุหรี่
- ต้นอ้อย
- ไม้ไผ่ (จักให้เป็นตอก มีลักษณะคล้ายต้นข้าว รวงข้าว)
ขนมห่อ ข้าวต้มมัด กล้วยสุก ขอจากวัดที่ชาวบ้านนำไปทำบุญ เนื่องจากของถวายพระย่อมเป็นของดีและจัดทำอย่างประณีต เมื่อนำมาประกอบพิธีย่อมทำให้เกิดสิริมงคล รวงข้าวจะอุดมสมบูรณ์ หญิงผู้ประกอบพิธีนำอุปกรณ์ที่เตรียมไปที่นาของตนปักต้นอ้อยไม้ไผ่ลงบนมุมคันนา ที่หัวนาด้านทิศเหนือ วางอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เตรียมมาบนตะแกรงไม้ไผ่สานหยาบ ๆ ปูผ้ากราบ 3 ครั้ง แล้วกล่าวคำเรียกขวัญดังนี้
“วันนี่ วันดี วันออกพรรษา พระแม่โพสพคงจิสะเอียขนม ข้าวต้ม ขอเชิญมากินเครื่องสังเวย พวกนี้ซะเด้อ เจ้าข้า เมื่อกินอิ่มแล้ว ก็ขอให้ผัดหน่า ทาน้ำมัน สีขี้ผึ่ง กินหมาก สูบยา ซะเนอ อุ้มท่อง ปีนี่ขอให่ อุ้มท่องใหญ่ ๆ ทีเดียว ขอให่ได้รวงละหม่อกอละเกียนเด้อ ให่ได้เข่าได้เลี้ยงลูกปลูกโพ อย่าให่ได้อด ได้อยาก ได้ยาก ได้จน เดอ ขวัญแม่โพสพเอย มากู๊” |
ใช้เป็นภาษาโคราช ซึ่งแปลความได้ว่า
“วันนี้ วันดี วันออกพรรษา พระแม่โพสพคงจะอยากกินขนม ข้าวต้ม ขอเชิญมากินเครื่องสังเวยเหล่านี้เสียน๊ะ เมื่อกินอิ่มแล้ว ขอให้ผัดหน้า ทาน้ำมัน สีขี้ผึ้ง กินหมาก สูบยา ด้วย อุ้มท้องปีนี้อขอให้ท้องใหญ่ๆ เลยนะ ขอใด้ได้รวงละหม้อกอละเกวียนนะ ให้ได้ข้าวพอเลี้ยงลูกเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ อย่าให้อดอยาก มีความยากจนนะ ขวัญแม่โพสพเอย มากู๊ เป็นการกู่เรียก) |
กล่าวจบแล้วกราบ 3 ครั้ง จบพิธี
การเรียกขวัญข้าวนี้ทำกันตามความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น คำกล่าวต่างๆ ก็สุดแล้วแต่จะนึกหรือจำได้ไม่มีมาตราฐาน
เตรียมลาน
ลานข้าวเป็นที่ๆ ชาวนาจะใช้ในการตีข้าว จะถูกเตรียมไว้ก่อนการเกี่ยวข้าว โดยาการถากและปรับดินให้เรียบ รดน้ำให้ชุ่ม แล้วใช้ขี้ควายเปียกมาย่ำให้ละเอียด มีความเหลวพอที่จะทาผืนดิน ใช้ไม้กวดที่ทำจากต้อนขัดมอญซึ่งหาได้ทั่วไปในหมู่บ้าน ตัดและมัดเป็นกำเพื่อกวาดให้ขี้ควายเสมอ ฉาบเป็นผิวหน้าของลาน ปล่อยไว้ให้แห้งเหมาะสำหรับเก็บฟ่อนข้าว
การเกี่ยวข้าว
เมื่อข้าวเริ่มออกรวงเหลืองพอที่จะเกี่ยวได้แล้ว หากข้าวสูงมากชาวนาจะใช้ไม้ใผ่ลำยาวๆ นาบข้าว ให้ข้าวล้มไปทางเดียวเพื่อง่ายต่อการเกี่ยว เมื่อนาบเสร็จก็จะเริ่มเกี่ยวข้าว โดยใช้เคียวเกี่ยวเป็นกำวางไว้เป็นแถวบนซังข้าว เพื่อตากเข้าไปในตัว บางบ้านจะเกี่ยวรวงข้าวยาวๆผูกกัน ที่มีศัพย์เรียกเฉพาะว่าเขน็ด เขน็ดจะเป็นตัวรัดข้าวให้เป็นฟ่อน จะนิยมมัดฟ่อนข้าวในตอนเช้าเพราะเขน็ดข้าวจะอ่อนเนื่องจากตากน้ำค้าง จากนั้นใช้ไม้หลาวหาบผ่อนข้าวมาตั้งเรียงเป็นกองง่ายต่อการตีข้าว
การเกียวข้าวอาจจะวาน(ลงแขก)เพื่อนบ้านมาช่วยกันเกี่ยวในเวลาที่เกียวไม่ทัน เจ้าของนาจะเตรียมข้าวปลาอาหาร หรืออาจจะมีการแอบทำสาโทไว้เลี้ยงคนมาช่วยเกี่ยว บางครั้งเกี่ยวไปร้องเพลงกันไป |
การตีข้าว
อุปกรณ์ที่ใช้
- ไม้ตีข้าว หรือเรียกภาษาโคราชว่าไม่ตีหัวข้าว ทำด้วยไม้ขนาดกำถนัด ยาวประมาณศอครึ่ง ชิ้นนึงยาวกว่าประมาณหนึ่งคืบ ผูกติดกันด้วยเชือกยาวประมาณหนึ่งคืบ ใช้สำหรับรัดฟ่อนข้าวเวลาตี
- ลานข้าว
เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จหรือมากพอที่จะตี ชาวนาจะใช้ไม้ตีหัวข้าว เวลาตีใช้ไม้ขัดหัวข้าวรัดฟ่อนข้าวให้แน่นแล้วตีลงไปที่ลานข้าว สังเกตว่าเมล็ดข้าวออกหมดพอประมาณแล้วก็จะเหวียงฟ่อนฟางให้คนเก็บฟางตั้งเป็นลอมฟางเป็นชั้นๆ การตั้งลอมฟางจะตั้งฟ่อนฟางเป็นวงกลมจากนอกเข้าใน จะทำให้ฟ่อนฟางแน่นและสามารถตั้งให้สูงได้
การตีข้าวนี้นิยมวานเพื่อนบ้านมาช่วยกันตีในเวลากลางคืน เรียกว่าตีข้าววาน จะมีการแข่งขันกันว่าใครขว้างฟ่อนฟางได้แม่นยำ หรือสูงกว่ากัน ทำให้เกิดความสนุกสนานครืนเครงไปในตัว |
การนวดข้าว
ฟางที่เหลือจากการตีข้าว เมื่อตีข้าวเสร็จแล้วจะนำมานวดเพื่อให้ได้เมล็ดข้าวเปลือกที่เหลือติดฟาง
อุปกรณ์ที่ใช้
- ลานข้าว
- หลักผูกควาย
- ควาย
- ไม้ขอฉาย เป็นไผ่ป่าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-3 ซม. ยาวประมาณ 180 ซม. ริแขนงไผ่ออกเหลือแต่ส่วนปลายอันเดียว แขนงส่วนที่เหลือนี้ตัดให้ยาวประมา 1 คืบ ทำให้งอด้วยการลนไฟ แล้วเหลาให้ปลายเรียว ใช้เพื่อเกาะฟางให้กระจาย หรือขนย้ายฟางให้กองรวมกันเป็นกองฟาง ส่วนด้ามถือใช้สำหรับตีนวดข้าวได้ด้วย
วิธีการนวดข้าว
- ฝังหลักไม้ตรงกลางลานข้าวเพื่อผูกควาย
- ใช้เคียวเกียวเขน็ดมันฟ่อนฟางให้ขาดออก
- กระจายฟางข้าวเป็นวงกลมในลานข้าน
- บังคับให้ควายเดินเป็นวงลม
- ใช้ไม้ขอฉายกระจายฟางและใช้ด้ามตีฟางไปพร้อมๆ กันกับเวลาที่ควายย่ำฟาง
- เมื่อสังเกตว่าข้าวร่วงดีแล้ว เกาะฟางให้ออกจากลานไปกองไว้เป็นกองฟาง
การเก็บข้าว
เมื่อตีข้าวเสร็จก็โปรยข้าวเพื่อให้ข้าวลีบหรือเศษฟางเล็กๆ ไม่มีน้ำหนักปลิวออกไปจากเมล็ดข้าว จะทำในวันที่มีลมแรง ทำโดยการเอากระบุงตักข้าวแล้วเทลงพื้นทีละน้อยให้ลมพัดเอาข้าวลีบออกข้าวที่แห้งดีแล้วจะถูกนำเข้าไปเก็บในยุ้ง ซึ่งชาวนาจะมียุ้งข้าวทุกหลังคาเรือน เวลาเก็บจะนับเป็นกระเฌอ หรือบางบ้านที่พอหากระสอบข้าวได้ก็จะตวงเป็นกระสอบ ข้าวที่ได้จะเก็บไว้กินมากกว่าที่จะขาย อาจจะมีการขายบ้างก็เพียงเพื่อให้ได้เงินไว้ใช้เล็กน้อยเท่านั้น
การเก็บฟาง
ฟางที่เหลือจากการนวดจะถูกเกาด้วยไม้ขอฉายมารอบๆ หลักไม้ไผ่ที่มีความสูงตามแต่จะเห็นเหมาะสมเพื่อเป็นหลักให้ฟางมีที่ยึดเวลากองขึ้นสูง กองฟางจะถูกเก็บไว้ในบริเวณที่ตีข้าว เก็บไว้เพื่อเป็นอาหารควายหลังฤดูเก็บเกี่ยวเสียเป็นส่วนมาก
การสีข้าว
มีโรงสีข้าวของแม่ใหญ่จ่าย(ไม่ทราบนามสกุล) ตั้งอยู่เมื่อประมาณสี่สิบปีก่อน ได้เลิกล้มกิจการย้ายไปอยู่จังหวัดเพชรบูรณ์ และต่อมา นายดวน บาทขุนทด ได้ตั้งโรงสีข้าวขนาดกลางที่ตำแหน่งเดิม อยู่ประมาณสิบปี ก็เลิกกิจการ การสีข้าวในสมัยก่อนโรงสีจะหักข้าวสารจากเข้าเปลือที่สีได้เป็นส่วน หากต้องการสีข้าวเป็นจำนวนมากชาวบ้านจะขนข้าวด้วยรถเข็นไปสีที่ตลาดปะคำ หรือตลาดโคกสวาย เนื่องจากสีได้เร็วกว่า ชาวบ้านบางส่วนก็ไม่นิยมสีข้าวแต่ใช้การตำข้าวด้วยครกกระเดื่องแทน
พ่อใหญ่จอย พาผล ได้เคยทำเครื่องสีข้าวที่ใช้แรงควายสี แต่ไม่ได้รับจ้างสีข้าวให้ชาวบ้าน ทำใช้ในครัวเรือนเท่านั้น น่าเสียดายว่าไม่มีโอกาสได้เก็บภาพถ่ายไว้ในสมัยนั้น
หลังการเก็บเกี่ยว
หลังฤดูเก็บเกี่ยว ฟางข้าวจะถูกปล่อยทิ้งไว้ ไม่มีการไถกลบ หรือเผา พื้นนาจะกลายเป็นที่สาธารณะ ชาวบ้านทุกคนมีสิทธิ์เข้าไปใช้ได้โดยไม่ต้องขอกัน ส่วนใหญ่แล้วจะใช้เป็นที่เลี้ยงควาย จึงจะเห็นเด็ก และผู้ใหญ่นำควายออกไปเลี้ยงเป็นฝูง ในทุ่งนา และเข้าไปอาศัยพักตามกระท่อมนาเหมือนเป็นเจ้าของ
เมื่อเสร็จหน้านาชาวนาก็มีเวลาพักผ่อนที่ยาว ประเพณีและพิธีบุญอะไรต่างๆ จะฉลองกันนาน เช่นประเพณีสงกรานต์ ชาวบ้านจะเล่นสงกรานต์ก่อนและหลังวันสงกราณ์เป็นอาทิตย์ หรือสองอาทิตย์ มีเวลาไปช่วยงานวัด ช่วยงานส่วนรวมมาก แม้หมู่บ้านของตนไม่มีวัดก็เดินกันไประยะทาง 2-3 กิโลเมตรก็เดินไปกันได้ คนไปวัดมากเป็นร้อยถึงห้าร้อย หากเป็นวันเทศกาลสำคัญๆ คนก็จะยิ่งมาก
สรุปการทำนาในอดีต